"โตโยต้า" ถอดใจผ่ายพิษภาษีโละไลน์ผลิต "พริอุส" ดีเดย์ กลางเดือนกันยายนนี้ ย้ำลูกค้าคนไทยไม่ตอบรับดีมานด์ไม่เพียงพอประกอบใน ปท. หนำซ้ำโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่คำนวณจากการปล่อยมลพิษไม่เอื้อ ระบุทำตลาดมา 6 ปีได้ตัวเลขไม่กี่หมื่นคัน กระแสการประกาศยุติไลน์ผลิตรถยนต์นั่งโตโยต้า พริอุส ในประเทศไทย ในราวกลางเดือนกันยายนนี้ กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา นิตยสาร นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานถึงสาเหตุที่ต้องยุติไลน์ผลิตเนื่องจากสภาพตลาดชะลอตัว และมีปัญหาทางด้านภาษีที่ทางการไทยเก็บเพิ่มขึ้นในการนำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบ โดยระบุตัวเลขการขายว่าในปี 2557 และ 6 เดือนแรกปี 2558 มีตัวเลขรวมกัน 21,000 คัน
ทางผู้บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับการยืนยันว่า โรงงานประกอบรถยนต์เกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมยุติไลน์ผลิตรถยนต์ พริอุสในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้จริง ทั้งนี้เนื่องจากตลาดรถยนต์ในประเทศไทยชะลอตัวลงเยอะ และรถยนต์นั่งพริอุส ไฮบริด ก็มีข้อพิพาทเกี่ยวกับพิกัดภาษีชิ้นส่วนอะไหล่ที่นำเข้ามาประกอบ ซึ่งขณะนี้เรื่องยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจยุติไลน์ผลิตรถยนต์นั่งพริอุส ไฮบริด นอกจาก 2 ประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่กระทรวงการคลังพร้อมประกาศใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ในปี 2559 ซึ่งยกเลิกการคำนวณภาษีจากปริมาตรกระบอกสูบ และไม่แบ่งแยกประเภทรถยนต์ หันมาคำนวณจากการปล่อยมลพิษ คือถ้าปล่อย CO2 สูงก็เสียภาษีมาก ซึ่งมีผลทำให้โตโยต้า พริอุส ไฮบริด ซึ่งเดิมอยู่ในหมวดรถยนต์ไฮบริด ไฟฟ้า และฟิวเซลล์ เสียภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 10 ต้องมาเข้าเกณฑ์คำนวณภาษีใหม่ตามปริมาณการปล่อย CO2 ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่าเดิมมาก กลายเป็นตัวเร่งในการยุติไลน์ผลิตครั้งนี้ สำหรับพริอุส ไฮบริด โตโยต้าได้แนะนำออกสู่ตลาดประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2553 โดยขณะนั้นประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นประเทศแรกในโลก
นอกประเทศญึ่ปุ่นเพื่อทำการผลิตรถยนต์ไฮบริด ซึ่งรุ่นที่เริ่มผลิต เป็นพริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 เนื่องจากโตโยต้าได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในความสามารถศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตรถยนต์ระดับโลก และโตโยต้า พริอุส ถือเป็นรถยนต์ไฮบริด รุ่นที่สองของโตโยต้า รองจากคัมรี่ ไฮบริด ที่ผลิตจากโรงงานเกตเวย์แห่งนี้ โดยจำหน่ายในราคา 1.19 ล้านบาท ทั้งนี้นับจากการเปิดตัวรถยนต์ พริอุส ไฮบริด ออกสู่ประเทศไทยเมื่อปี 2553 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2558 พบว่า โตโยต้า พริอุส มียอดการจำหน่ายในประเทศไทยไปทั้งสิ้น 18,000 คันเท่านั้น ซึ่งในช่วง 2 ปีหลังตลาดเริ่มตอบสนองรถยนต์ไฮบริดน้อยลง โดยมียอดขายต่อปีแค่หลักร้อยเท่านั้น
จากการสำรวจไปยังตัวแทนจำหน่ายโตโยต้า พบว่าก่อนหน้านี้ที่จะมีประกาศยุติไลน์ผลิตพริอุส โตโยต้าได้แจ้งให้ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเคลียร์สต๊อก ซึ่งปัจจุบันอาจจะมีเหลือบ้างเล็กน้อยในบางโชว์รูม แต่ก็ถือเป็นตัวเลขที่น้อยมาก โดยลอตสุดท้ายจำนวน 500 คัน ขายให้กับบริษัท นครชัยแอร์ ที่ได้แตกไลน์ธุรกิจเปิดตัวบริการรถแท็กซี่รูปแบบใหม่ ออล ไทย แท็กซี่ ด้วยเงินลงทุนราว 700 ล้านบาท กับการซื้อรถโตโยต้า พริอุส ไฮบริด มาให้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
สำหรับพริอุส ไฮบริด ถือเป็นวิบากกรรมครั้งใหญ่ของค่ายโตโยต้า โดยก่อนหน้านี้ทางกรมศุลกากร ได้ฟ้องดำเนินคดีโตโยต้า นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์พริอุส ตั้งแต่ปี 2553-2555 ไม่ถูกต้องตามกฎหมายศุลกากร และเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง คิดเป็นเงินมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งทางโตโยต้าได้ยื่นอุทธรณ์ เรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี
นอกจากนี้ โตโยต้ายังถูกภาคีเครือข่ายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ ร้องกระทรวงการคลัง เรื่องเสียภาษีไม่ถูกต้องทำรัฐเสียรายได้ 6 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีการระบุว่า โตโยต้านำเข้ารถยนต์รุ่นพริอุสทั้งคัน ไม่ใช่นำเข้าชิ้นส่วนสำเร็จรูปมาประกอบ และกระทบชิ่งไปยังนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
ซึ่งประเด็นนี้ ผู้บริหารโตโยต้าออกมายืนยันว่า มิได้นำเข้ารถยนต์พริอุสเข้ามาทั้งคันตามคำกล่าวพาดพิง ทั้งนี้ การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ทุกชิ้น ได้มีการสำแดงเอกสารถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย และได้รับการอนุมัติการนำเข้า และการตรวจปล่อยจากทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และขอยืนยันว่า ระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมาในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทได้ดำเนินงานบนพื้นฐานความโปร่งใส (Transparency) ตั้งอยู่บนหลักธรรมาภิบาล (Corporate Governance) และดำเนินธุรกิจที่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า รวมถึงตอบสนองนโยบายภาครัฐในด้านส่งเสริมการลงทุนและการส่งออกด้วยดีตลอดมา
